วันศุกร์, 17 ตุลาคม 2568

“เส้นทางสู่สันติสุขชายแดนใต้”แม่ทัพภาคที่ 4 เข้าพบจุฬาราชมนตรี ร่วมหารือแนวทางแก้ปัญหาชายแดนใต้ ด้วยพลังแห่งความเข้าใจและศรัทธาในหลักศาสนา มุ่งสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐ ผู้นำศาสนา และชุมชนพหุวัฒนธรรม

ที่สำนักงานจุฬาราชมนตรี เขตหนองจอก กรุงเทพมหานครฯ นายอรุณ บุญชม จุฬาราชมนตรี ให้การต้อนรับ พลโท นรธิป โพยนอก แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 พร้อมคณะ ซึ่งได้เข้าเยี่ยมคำนับในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เกิดสันติสุขอย่างยั่งยืน

จุฬาราชมนตรี กล่าวว่า ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ดำเนินมาเป็นเวลานาน แต่ทุกฝ่ายยังคงมุ่งมั่นหาทางออกโดยยึดแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” เป็นหลักสำคัญในการทำงาน โดยเฉพาะการเข้าใจต้นตอของปัญหา และการพัฒนาคุณภาพชีวิตในด้านการศึกษา เศรษฐกิจ และสังคม เพื่อให้ประชาชนอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข

พร้อมเน้นย้ำว่า ปัจจุบันไม่มีความขัดแย้งในประเด็นศาสนา แต่ต้องสร้างความเข้าใจให้ลึกซึ้งมากขึ้น โดยเฉพาะในหมู่เยาวชน ซึ่งเป็นอนาคตของชาติ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ “โครงการสานใจไทย สู่ใจใต้” ที่เปิดโอกาสให้เยาวชนจากพื้นที่ชายแดนใต้กว่า 10,000 คน ได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกับครอบครัวอุปถัมภ์ในพื้นที่ภาคกลาง เพื่อปลูกฝังแนวคิดสันติสุข และความเข้าใจในพหุวัฒนธรรมไทย

ด้าน แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า แม้สถานการณ์ในพื้นที่จะดีขึ้น แต่ยังมีกลุ่มคนบางส่วนพยายามสร้างเหตุการณ์ความไม่สงบ โดยเฉพาะผู้มีอิทธิพลในชุมชนที่มีแนวคิดสุดโต่ง จึงจำเป็นต้องใช้ผู้นำศาสนาและผู้นำชุมชนที่ได้รับความเคารพจากพี่น้องมุสลิมร่วมกันเป็น “กระบอกเสียงแห่งความเข้าใจ” เพื่อสื่อสารให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของสันติสุข

แม่ทัพภาคที่ 4 ยังกล่าวถึงปัญหาบุคคลสองสัญชาติที่อาจเกี่ยวข้องกับเหตุความไม่สงบในพื้นที่ ซึ่งฝ่ายความมั่นคงกำลังเร่งตรวจสอบและประสานกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้ใช้ช่องทางดังกล่าวหลบหนีหรือก่อเหตุในพื้นที่

ทั้งนี้ แม่ทัพภาคที่ 4 ย้ำว่า ความสงบสุขจะเกิดขึ้นได้จากการสร้าง “คน” โดยมุ่งพัฒนาการศึกษา อาชีพ และการเสริมสร้างรายได้ พร้อมปลูกฝังความภูมิใจในอัตลักษณ์ท้องถิ่น และความหลากหลายทางวัฒนธรรม เพื่อให้ทุกศาสนาอยู่ร่วมกันได้อย่างเข้าใจ เคารพ และเกื้อกูลกัน

การพบปะหารือในครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและผู้นำศาสนา เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและศรัทธาในหลักธรรมของศาสนาอิสลาม อันจะนำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมพหุวัฒนธรรมของจังหวัดชายแดนภาคใต้