วันอาทิตย์, 14 กันยายน 2568

ศาลจังหวัดปัตตานี พิพากษา “จำคุก 5 ปี 4 เดือน” แก่ผู้กระทำผิด คดีลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรหนองจิก

เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2567 ศาลจังหวัดปัตตานีมีคำพิพากษาลงโทษจำคุก นายไฟซ้อล (สงวนนามสกุล) เป็นเวลา 5 ปี 4 เดือน จากกรณีเกี่ยวข้องกับเหตุลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดเคลื่อนที่เร็ว สถานีตำรวจภูธรหนองจิก จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2567 เหตุการณ์เกิดขึ้นขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังเดินทางกลับจากปฏิบัติภารกิจรักษาความปลอดภัยให้ประชาชนในพื้นที่ เมื่อมาถึงถนนทางหลวงหมายเลข 43 พื้นที่บ้านใหม่ทุ่งนเรนท์ ตำบลบ่อทอง อำเภอหนองจิก ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้น ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 6 นาย

หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนอย่างรอบคอบและเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย จนนำไปสู่การควบคุมตัว นายไฟซ้อล (สงวนนามสกุล) เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2567 ซึ่งผู้ต้องหารับสารภาพว่าได้มีส่วนร่วมในการเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ โดยถ่ายภาพรถตำรวจจากกล้องวงจรปิดในบริเวณปั๊มน้ำมันและส่งข้อมูลให้ผู้ร่วมขบวนการ ก่อนเกิดเหตุวางระเบิด

การดำเนินคดีดังกล่าวเป็นไปตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งรวมถึงการรวบรวมพยานหลักฐาน การสอบสวน การซักถามผู้ต้องหา และการพิจารณาคดีในชั้นศาล ภายใต้หลักนิติธรรม ความเป็นธรรม และความโปร่งใส เพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย ซึ่งคดีนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงและกระบวนการยุติธรรมไทยในการดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิด โดยยึดถือกฎหมายเป็นหลัก พร้อมทั้งเน้นย้ำว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ไม่ว่าจะโดยตรงหรือทางอ้อม จะต้องเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายเช่นเดียวกัน

กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน หากพบบุคคลต้องสงสัยเข้ามาเคลื่อนไหวในพื้นที่ สามารถแจ้งได้ที่หมายเลขโทรศัพท์สายตรง แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 โทร 061-1732999 หรือเบอร์สายด่วน กอ.รมน.ภาค 4 สน. 1341 และหน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งขอเรียนให้ทราบว่าผู้ให้การสนับสนุนผู้กระทำผิดด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การนำพาซ่อนเร้น การให้การสนับสนุนที่พักพิง หรือการสนับสนุนเสบียงอาหาร จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ “อย่าหลงเชื่อหรือร่วมมือกับกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง แม้จะไม่ได้ลงมือก่อเหตุด้วยตนเอง หากมีส่วนร่วมในการวางแผนหรือสนับสนุน ก็มีโทษตามกฎหมายเช่นเดียวกัน”