วันพฤหัสบดี, 28 สิงหาคม 2568

ทำผิดกฎหมายในคดียุยงปลุกปั่น ไม่ใช่เพราะแต่งชุดมลายู

หลังศาลจังหวัดปัตตานีนัดสืบพยานในคดีที่พาดพิงถึงแกนนำนักกิจกรรม 9 คน หลายกระแสข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ได้เผยแพร่ข้อมูลคลาดเคลื่อนว่า นักกิจกรรมทั้ง 9 คนถูกฟ้องเนื่องจาก “การแต่งกายชุดมลายู” หรือ “แสดงออกทางวัฒนธรรมในพื้นที่สาธารณะ” ซึ่ง ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด และอาจสร้างความเข้าใจผิดในสังคม

 กรณีนี้เกิดขึ้นจากกิจกรรมที่จัดโดย “สมัชชาประชาสังคมเพื่อสันติภาพ (CAP)” เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2565 บริเวณหาดวาสุกรี อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี เจ้าหน้าที่พบว่ากิจกรรมดังกล่าวมี เนื้อหาและการแสดงออก ที่เข้าข่ายยุยงปลุกปั่น เช่น การแสดงธงของกลุ่มแบ่งแยกดินแดน (BRN), การกล่าวถ้อยคำบนเวที เช่น “เยาวชนต้องลุกขึ้นสู้เพื่อเอกราชปาตานี”, การประกาศให้ “วันรายอที่ 3” เป็น “วันเยาวชนแห่งชาติปาตานี” รวมถึงการร้องเพลงปลุกใจที่มีเนื้อหาชักชวนให้รวมตัวต่อต้านรัฐ

 ในคดีนี้คณะพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานและมีความเห็นควรส่งฟ้องผู้จัดกิจกรรมรวม 9 คน ในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ร่วมกันทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือด้วยวิธีอื่นใดอันมิใช่กระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญหรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็น หรือติชมโดยสุจริต (2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร (3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดต่อกฎหมายแผ่นดิน , มาตรา 209 ความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่ , มาตรา 210 ความผิดฐานร่วมกันเป็นซ่องโจร และดำเนินคดีตาม พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน กรณีการชุมนุมฝ่าฝืนมาตรการการป้องกันโรคโควิด-19

 ศาลจังหวัดปัตตานีได้นัดสืบพยานทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยอย่างต่อเนื่อง 9 ครั้ง คือ ในห้วงวันที่ 29 – 31 กรกฎาคม 2568 (จำนวน 3 ครั้ง), วันที่ 5 – 6 สิงหาคม 2568 (จำนวน 2 ครั้ง) และวันที่ 26 – 29 สิงหาคม 2568 (จำนวน 4 ครั้ง) โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 เป็นอีกหนึ่งวันในการสืบพยานที่อยู่ในแผนดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม ในขณะเดียวกันยังคงมีสื่อสังคมออนไลน์แนวร่วมกลุ่มแกนนำของผู้จัดกิจกรรมพยายามนำเสนอข้อมูลบิดเบือนชี้นำสังคมให้เกิดความเข้าใจผิดว่า คดีนี้เกี่ยวข้องกับ “การแต่งชุดมลายู” หรือ “กิจกรรมวัฒนธรรมในพื้นที่” ซึ่ง ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด และอาจสร้างความสับสนแก่ประชาชน โดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ขอยืนยันว่า ไม่ใช่คดีที่เกี่ยวข้องกับการแต่งกายชุดมลายู ตามที่มีความพยายามสร้างความเข้าใจคลาดเคลื่อนในสื่อสังคมออนไลน์บางสื่อ

 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ยืนยันว่าไม่ได้ดำเนินคดีกับใครเพียงเพราะการแต่งกายแบบมลายู หรือการแสดงอัตลักษณ์ท้องถิ่น ในทางตรงกันข้าม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้พยายามส่งเสริมอัตลักษณ์ การแต่งกาย ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม ของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ดังจะเห็นได้จากการกำหนดงานการส่งเสริมการอยู่ร่วมกันภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง ซึ่งเป็นหนึ่งในงานนโยบายสำคัญของผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน หน่วยงานรัฐพร้อมเปิดรับข้อเสนอเชิงสร้างสรรค์ และยังคงสนับสนุนอัตลักษณ์ของประชาชนในพื้นที่ เพื่อร่วมสร้างสันติสุขและความเข้าใจที่ถูกต้องในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า จึงขอสร้างความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนอีกครั้งว่าคดีดังกล่าวเป็น “คดียุยงปลุกปั่น” ที่มีรายละเอียดการปฏิบัติในกิจกรรมอันมีลักษณะขัดต่อกฎหมาย ขอให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ ไม่หลงเชื่อข่าวสารที่บิดเบือน