หาดทิพย์ (HTC) แถลงผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2567 โชว์ยอดขาย 2,219 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2566 ถึง 235 ล้านบาท หรือร้อยละ 12 มั่นใจธุรกิจครึ่งปีหลังยังสดใสจากการเติบโตของภาคท่องเที่ยวโดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นปลายปี แม้ต้นทุนจะเพิ่มขึ้น แต่ยังสามารถใช้กลยุทธ์สร้างรายได้จากช่องทางที่เติบโตอย่างรวดเร็วอย่างร้านอาหาร โรงแรม และโมเดิร์นเทรด ควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและปรับขนาดบรรจุภัณฑ์อันจะทำให้สามารถทำกำไรช่วงสิ้นปีได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา คณะกรรมการบริษัทได้มีมติจ่ายปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.48 บาท โดยจะจ่ายเงินปันผลในวันที่ 20 กันยายน 2567
บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) หรือ HTC ผู้รับลิขสิทธิ์การผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในเครือโคคา-โคล่าในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ จากเดอะ โคคา-โคล่า คัมปะนี (ประเทศสหรัฐอเมริกา) แถลงผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ประจำปี 2567 โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขายเท่ากับ 2,219 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 235 ล้านบาท หรือร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับยอดขายจากช่วงเดียวกันของปี 2566 ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงได้รับอานิสงส์จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจท่องเที่ยว โดยจากข้อมูลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ณ ไตรมาส 2 ปี 2567 มีจำนวนสูงถึง 8 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 27 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 โดยพื้นที่ที่มียอดขายเติบโตสูงสุด 3 อันดับแรกของบริษัทฯ ได้แก่ ภูเก็ต ตรัง และ สมุย โดยเติบโตถึงร้อยละ 33, 25 และ 20 ตามลำดับ นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์กลุ่มไม่มีน้ำตาล (Zero Sugar) ก็ยังคงเติบโตอย่างเข้มแข็งถึงร้อยละ 29 โดยมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ ชเวปส์ แมนดารินยูซุ ไม่มีน้ำตาล เข้าสู่ตลาดในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา
แต่ในขณะที่รายได้จากยอดขายยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่องนั้น บริษัทฯ ก็มีต้นทุนที่ปรับสูงขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะต้นทุนน้ำตาลเหลวและกระป๋องอลูมิเนียม ซึ่งมีราคาเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง ร้อยละ 20 และ ร้อยละ13 ตามลำดับ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้บริษัทฯ มีต้นทุนขายรวมในไตรมาสที่ 2 เท่ากับ 1,287 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 151 ล้านบาท หรือร้อยละ 13 และมีกำไรขั้นต้น เท่ากับ 932 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84 ล้านบาท หรือร้อยละ 10 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเมื่อนำมาหักลบกับต้นทุนด้านการจัดจำหน่ายและต้นทุนด้านการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น ตลอดจน ต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นจากดอกเบี้ยเงินกู้ในการขยายไลน์การผลิตที่โรงงานพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานีแล้วบริษัทฯ มีกำไรสุทธิรวมในไตรมาสที่ 2 ที่ 159 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8 ล้านบาท หรือร้อยละ 6 และมีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ ร้อยละ 7.2 ลดลง 0.4 จุดเปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
พลตรี พัชร รัตตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้กล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจในครึ่งปีหลังของปี 2567 ว่า “เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ธุรกิจในปัจจุบันแล้ว เราพบว่าภาคการท่องเที่ยวยังเติบโตอย่างต่อเนื่องซึ่งส่งผลให้ยอดขายจากช่องทางโรงแรมและร้านอาหาร (HoReCa) และช่องทางโมเดิร์นเทรดในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 เติบโตจากช่วงเดียวกันของปี 2566 สูงถึงร้อยละ 27 และร้อยละ 14 ตามลำดับ เรามั่นใจว่าแนวโน้มที่ดีเช่นนี้จะดำเนินต่อไปและจะปรับกลยุทธ์เพื่อเสริมสร้างรายได้จากช่องทางเหล่านี้ให้เติบโตมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะในช่วงปลายปีที่จะเป็นช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวอีกครั้ง ในขณะเดียวกันเรายังคงมุ่งมั่นในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยในช่วงไตรมาสที่ 3 เราได้เริ่มดำเนินโครงการลดปริมาณการใช้พลาสติกใหม่ผ่านการปรับขนาดฝาและขวดพลาสติก PET ให้มีความเหมาะสมมากขึ้น ซึ่งจากการประมาณการล่าสุด จะช่วยลดปริมาณการใช้พลาสติกตามนโยบายความยั่งยืนได้ถึงประมาณ 480 ตัน อันจะทำให้ต้นทุนบรรจุภัณฑ์ในครึ่งหลังของปี 2567 ลดลงตามไปด้วย”
อนึ่ง เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา คณะกรรมการบริษัทได้มีมติจ่ายปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสด จากผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567 ถึง 30 มิถุนายน 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.48 บาท โดยจะประกาศจ่ายปันผลในวันที่ 20 กันยายน 2567 กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิ์ได้รับปันผลในวันที่ 6 กันยายน 2567 และขึ้นเครื่องหมาย XD (Exclude Dividend) ในวันที่ 5 กันยายน 2567