นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ร่วมกันแถลงข่าวคดีรถซ่อมบำรุงทางอเนกประสงค์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา
นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้เล่าย้อนถึงความเป็นมาก่อนมารับคดีเป็นทนายความให้กับนายนิพนธ์ ต่อสู้คดีกับ ป.ป.ช. ซึ่งถูกสังคมและสื่อ วิพากษณ์วิจารณ์ว่าเป็นถึงอดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ แล้วลดตัวมาเป็นทนายว่า อาชีพเดิม เคยเป็นทนายความในสำนักงานหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เมื่อปี 2510 และเริ่มว่าความในปี 2511 ก่อนเข้ารับราชการเป็นผู้พิพากษาปี 2516 อีกทั้งอาชีพที่ตั้งตัวได้คืออาชีพทนายความ ก่อนมาเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ คำพูดแบบนี้มองว่าเป็นการดูถูกอาชีพอิสระ เพราะทุกวงการมีทั้งคนดีคนเลวปะปนกัน และหลังจากลาออกก็ไม่เคยคิดจะไปสู้คดีให้ใคร เพื่อมาสู้กับศาลรัฐธรรมนูญที่เคยเป็นประมุข แต่ก็คงไม่น่าเกลียดเพราะไม่เคยเป็นประธานศาลฎีกา
ขณะเดียวกันยังยกตัวอย่างหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ยังไปเป็นทนายความ ขณะเดียวกันเมื่อลาออกจากประธานศาลรัฐธรรมนูญในปี 2556 มาทำอาชีพทนายความปี 2558 โดยว่าความคดีแรกก็ไม่มีใครรู้ว่าตนเองเคยเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญมาก่อน ดังนั้นการที่สื่อบางคน บอกว่าเป็นการลดตัวไปว่าความ และเวลาไปศาลนั้นคนจะยกมือไหว้ตั้งแต่หัวกะไดศาล ไม่เป็นความจริง
พร้อมกันนี้ยังเปิดเผยว่าเคยรับคดีว่าความสู้กับ ป.ป.ช. มาแล้ว ซึ่งที่รับทำเพราะมีคนถูกกลั่นแกล้ง รังแก หากช่วยพรรคพวกได้ก็ควรช่วย และการรับคดีก็ต้องพิจารณาจะมีทางต่อสู้หรือไม่ ซึ่งหากนายนิพนธ์เป็นฝ่ายผิด คงไม่รับทำคดีให้ เพราะจะเสียฟอร์ม “ตนเป็นทนายเงียบๆ ไม่ได้หิวแสงเหมือนคนอื่น”
ซึ่งคดีแรกที่ว่าความคือคดีที่ ป.ป.ช. กล่าวหาคณะกรรมการคัดเลือกข้าราชการกระทรวงการคลัง ที่มี นายสมหมาย ภาษีอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งชนะคดี
นายวสันต์ ยังเล่าว่าตนไม่คุ้นเคยกับนายนิพนธ์ แต่คุ้นเคยกับ นายสุทัศน์ เงินหมื่น อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และอดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แนะนำให้นายนิพนธ์ มาพบมาพูดคุยก่อนบอกว่า “ตนอยู่ในวงการยุติธรรมมา 50 ปี มองออกว่าใครได้รับความเป็นธรรม หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม” ทั้งนี้เมื่อตรวจเอกสารรายละเอียดคดี เห็นว่านายนิพนธ์ ไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงรับทำคดีให้
สำหรับรายละเอียดของคดี อบจ.สงขลา ซื้อรถเอนกประสงค์ 2 คัน มูลค่ากว่า 40 ล้าน และมีการประมูลทำสัญญาส่งมอบรถ ซึ่งเมื่อนายนิพนธ์ มาเป็นนายก อบจ.สงขลา มีเรื่องร้องเรียนตรวจสอบเอกสารพบสงสัยมีการฮั้ว จึงทำเรื่องให้ผู้ว่าฯ สงขลา ระงับการจ่ายเงินไว้ก่อน และ อบจ.ได้ไปแจ้งความเพราะมีเจ้าหน้าที่รัฐร่วมด้วย และขณะนี้พนักงานอัยการสั่งฟ้องศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 9 และออกหมายจับ นอกจากนี้ ป.ป.ช. ได้ให้เจ้าหน้าที่ไปแจ้งความกล่าวโทษเอกชนที่ฮั้วประมูล ซึ่ง ป.ป.ช. ต้องเชื่อว่ามีการฮั้ว ขณะเดียวกันเอกชนก็ไปฟ้อง ป.ป.ช. ว่าถูก อบจ.สงขลา กลั่นแกล้ง รวมถึงฟ้องศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาให้ อบจ.จ่ายเงิน แต่เมื่อมีการยื่นฟ้องคดีอาญาว่าฮั้ว ศาลปกครองสูงสุดจึงให้พิจารณาใหม่ และก็อยู่ระหว่างพิจารณาคดี
นายวสันต์ กล่าวด้วยว่า คดีนี้ถ้านายกฯ อบจ. สั่งจ่ายเงินสัญญาที่โมฆะ ถือมีความผิด สัญญาที่เป็นโมฆะ คู่กรณีจะกลับคืนฐานะเดิม ซึ่งพวกฮั้วประมูลบอกเป็นการกลั่นแกล้ง แต่อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องนายกฯ อบจ. แต่ ป.ป.ช. จะฟ้องเอง
“ดังนั้นเราพร้อมสู้กับ ป.ป.ช. ไม่ได้เกรงใจ ชื่นชม ป.ป.ช. ชุดนาฬิกายืมเพื่อน พร้อมยืนยันไม่ได้แขวะใคร เพราะเป็นเรื่องจริง”
เมื่อถามว่าเปิดหน้าสู้กับ ป.ป.ช. แบบนี้มีปัญหากับ ป.ป.ช. หรือไม่ นายวสันต์ กล่าวยืนยันไม่มีปัญหา ซึ่งชุดก่อนหน้านี้ตนก็รู้จักคุ้นเคยหลายคน เช่น นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ นายวิชา มหาคุณ นายกล้านรงค์ จันทิก ส่วนชุดใหม่ไม่คุ้นเคย รู้จักส่วนตัวเป็นบางคน พร้อมกันนี้ยังปฏิเสธว่าเป็นเรื่องการเมืองเพื่อให้นายนิพนธ์พ้นจากตำแหน่ง รมช. หรือไม่ ไม่ทราบ เพราะตนไม่ใช่นักการเมือง
นายวสันต์ ย้ำว่ามั่นใจว่าจะชนะคดี เพราะหากไม่มั่นใจคงไม่รับทำ เรื่องจริงเป็นอย่างไร ไปว่ากันในศาล ขณะนี้พร้อมเดินไปศาลตามที่ ป.ป.ช.นัดหมายวันที่ 5 ก.ย.นี้ โดยคดีนี้จะเร่งรัดให้เสร็จโดยเร็ว ส่วนการชี้แจงกับศาลรัฐธรามนูญ มองว่าเป็นคนละเรื่อง แต่มูลเหตุเดียวกัน รวมถึงยังตั้งข้อสังเกตเหตุเกิด ที่สงขลา แต่มาฟ้องศาลที่ กทม. โดยอ้างว่านายนิพนธ์ มีอิทธิพลในพื้นที่ เป็นการสร้างความลำบากให้พยานในการเดินทาง
ด้านนายนิพนธ์ ไม่ขอแสดงความเห็น เพราะชี้แจงไปก่อนหน้านี้หมดแล้ว และเอกสารชี้แจงส่งศาลรัฐธรรมนูญหมดแล้ว