นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.)มีมติว่าจะฟ้องนายนิพนธ์เอง ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตาม ม.157 แต่จะฟ้องประเด็นเมื่อรู้ว่า มีการฮั้วประมูลทำไม่บอกเลิกสัญญาว่า ที่จริงประเด็นนี้ทาง อบจ.สงขลาได้แจ้ง บริษัท พลวิศย์ เทคพลัส จำกัด ผู้ชนะการประกวดไปไปแล้วว่าสัญญาเป็นโมฆะ ต้องมาขอคืนหลักทรัพย์ แต่บริษัทพลวิศว์ ก็ไม่มีโต้แย้งอะไร และไม่มาขอคืนทรัพย์สินด้วย
“เมื่อสัญญาเป็นโมฆะกรรมตั้งแต่ต้น จึงไม่มีผลผูกพันอะไร ไม่ต้องบอกเลิกสัญญาเพราะไม่มีผลผูกพันมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว บริษัท พลวิศว์ เพียงแค่ขอคืนหลักทรัพย์ค้ำประกันสัญญา แต่ไม่ได้ขอคืนทรัพย์สิน รถซ่อมบำรุงทางฯจึงยังอยู่ที่ อบจ. เขาไม่มาขอคืนเอง ไม่ใช่หน้าที่ของ อบจ.ที่จะเอารถไปส่งคืนให้เขา”
นายนิพนธ์ ย้ำว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 เมื่อสัญญาเป็นโมฆะ ก็ไม่ต้องบอกเลิกสัญญา เพราะไม่มีผลผูกพันตั้งแต่ต้น ไม่ใช่เป็นโมฆียะ ความหมายต่างกัน
“เมื่อหนี้ไม่สมบูรณ์ จึงไม่มีสิทธ์ และหน้าที่ต้องปฏิบัติต่อกัน”
กล่าวสำหรับ มาตรา 150 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดไว้ว่า “การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายเป็นการพ้นวิสัย หรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ”
นายนิพนธ์ กล่าวยืนยันว่า เรื่องคดีอาญาไม่มีอะไรน่ากลัว สามารถชี้แจงต่อศาลได้ในทุกประเด็น เราเตรียมการทำข้อมูลมานานแล้ว ตั้งแต่การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งก่อน
“การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ก็น่าจะมีประเด็นนี้หยิบยกขึ้นมาอภิปรายไม่ไว้วางใจอีก จึงเป็นเรื่องไม่น่ากลัวอะไร พร้อมจะชี้แจง และถือเป็นโอกาสดีจะได้ชี้แจงกับประชาชนอีกครั้ง”
นายนิพนธ์ กล่าวอีกว่า ลองคิดดูบริษัท และบุคคลที่ร่วมฮั้วประมูล ถูกดำเนินคดีหมดแล้ว และส่วนใหญ่หลบหนีออกนอกประเทศเกือบหมดแล้ว อัยการก็เริ่มทะยอยสั่งฟ้องไปแล้ว นั่นแสดงว่า เบื้องต้นผู้ร่วมฮั้วประมูล มีความผิดจริง เพียงแค่รอศาลตัดสินเท่านั้น ถ้าไม่ผิดจะหลบหนีทำไม มามอบตัวสู้คดีสิ